รีวิวหนัง wednesday เรื่องย่อ: วันพุธ ลูกสาวหน้าเข้มของครอบครัว Addams ที่แปลกประหลาด เข้าสู่วัยขบถต่อพ่อแม่และถูกส่งไปโรงเรียนรวมญาติสุดแปลกที่พ่อแม่เคยเป็นศิษย์เก่า และเธอต้องรับมือกับเรื่องปวดหัวมากกว่าวัยรุ่นทั่วไปเรื่องความสัมพันธ์และหนุ่มหล่อ เพราะวันพุธยังต้องพัวพันกับความลับและการฆาตกรรมในย่านโบราณแห่งนี้
รีวิวหนัง wednesday ก่อกำเนิด เวนเดย์
รีวิวหนัง wednesday ‘The Addams Family’ อาจเริ่มต้นจากการเป็นการ์ตูนแก๊กในปี 1938 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนักเขียน Charles Addams ชีวิตแต่งงานที่ดิ้นรนด้วยอารมณ์ขันอันมืดมน มันเต็มไปด้วยตัวละครที่น่ากลัวซึ่งดูเหมือนฮาโลวีนโดยตรงและดูเหมือนจะไม่เข้ากับโลกภายนอก แต่สามารถมารวมกันเป็นครอบครัวได้ ความแตกต่างเล็กน้อยนี้กลายเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนใจเมื่อรวมเข้ากับหนังตลกสำหรับผู้ใหญ่ที่มองโลกในแง่ร้ายให้กลายเป็นเรื่องขบขัน
สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบสไตล์โกธิคที่แปลกประหลาดของตัวละครต่างๆ ที่ผสมผสานกับสังคมปกติ มันเป็นโลกแฟนตาซีที่แปลกมาก ถึงจะไม่สนใจก็ต้องหยุดดูอยู่ดี ไม่แปลกใจเลยที่งานด้านภาพที่โดดเด่นเช่นนี้เมื่อสร้างเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์จะน่าสนใจมาก
และเรื่องล่าสุดของ Netflix ที่เลือกผู้กำกับอาวุโสอย่าง Tim Burton (ทิม เบอร์ตัน) ที่เคยฝากผลงานแนวดาร์คแฟนตาซีมาแล้วอย่าง ‘Sleepy Hollow’ (1999) ‘Corpse Bride’ (2005) หรือ ‘Frankenweenie’ (2012) ซึ่งถือว่าฮิตถล่มทลายมากจนน่าประหลาดใจที่แฟรนไชส์ Addams ไม่เคยอยู่ในมือเขามานานหลายทศวรรษ
สำหรับ ‘Wednesday’ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยอมรับว่าคู่หูผู้อำนวยการสร้างและเขียนบทของซีรีส์ Alfred Gough และ Miles Millar ซึ่งเคยเป็นผู้กำหนดเนื้อหาของซีรีส์นี้มาก่อน ‘Spider-Man 2’ ของแซม ไรมี (2004) เป็นหนึ่งในภาคต่อของซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าจดจำที่สุด
ทั้งคู่สามารถหาแนวทางให้ครอบครัวแอดดัมส์โลดแล่นในยุคใหม่ได้น่าสนใจสุด ๆ ด้วยการจับตัวละครลูกสาววัยรุ่นอย่าง เวนส์เดย์ ที่กำลังค้นหาตัวเองและปฏิเสธคนรอบตัวจนดูแปลกไร้เพื่อนฝูง มาเข้าเรียนในโรงเรียนรวมเด็กที่นอกคอกแปลกแยก และที่สำคัญหลากหลายเผ่าพันธุ์มีตั้งแต่แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ไซเรน และอมนุษย์อีกมาก แค่พลอตที่แต่งใหม่นี้ก็นับว่าน่าติดตามไม่น้อยและน่าจะเปิดพื้นที่จินตนาการให้ทิม บอร์ตันแสดงฝีมือได้เต็มที่ด้วย ต่างจากตอนที่แกต้องทำแฟนตาซีโรงเรียนคนเหนือมนุษย์ใน ‘Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children’ (2016) ที่ยังไงก็ติดกรอบของเนื้อหาในหนังสืออยู่
ด้วยความใกล้ชิดของโครงเรื่องกับเด็กที่มีพลังวิเศษและมีปัญหาต่างๆ นานา ทำให้นึกถึงหนังประเภทเดียวกันอย่างแฟรนไชส์ ‘Twilight’ หรือหนัง ‘The New Mutants’ (2020) แต่มีรสชาติที่ดูบันเทิงกว่า มากกว่าจริงจัง ตลกกว่า รวมถึงองค์ประกอบหลายอย่างที่คล้ายกัน เช่น อาจารย์ผู้ลึกลับ ปริศนาเรื่องราวในโรงเรียน แม้แต่การแข่งขัน Po Cup ประจำปีของการแข่งขันก็ยังชวนให้นึกถึงปริศนาของแฟรนไชส์ ‘Harry Potter’ โลกใหม่ที่น่าทึ่งและตัวละครก็ไม่ต่างกัน เป็นเพียงสไตล์ทิมเบอร์ตันแนวดาร์กโกธิคแฟนตาซีและบุคลิกที่ไม่คุ้นเคยของตัวละครนำ แต่ความรู้สึกของดวงตาที่เปล่งประกายและความพอใจในโลกทัศน์ใหม่เกือบจะเหมือนกัน
ซีรีส์นี้บอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัยที่กำลังจะมาถึงของเด็กที่แปลกแยกและถูกทอดทิ้ง มีความขัดแย้งมากมายในแง่ของความสัมพันธ์ที่สร้างพัฒนาการของตัวละคร ทั้งความรู้สึกภายในของวันพุธที่ต้องการเป็นตัวของตัวเองและการปฏิเสธที่จะเป็นผลไม้ที่รกร้างใกล้เงาของแม่ขี้เล่น โดย Catherine Zeta-Jones ความรู้สึกสำนึกผิด เช่น การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวแรกของคุณเมื่อยังเป็นเด็ก จะกลายเป็นความรู้สึกไม่เต็มใจที่จะสนิทสนมหรือผูกพันกับใครเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งก็เหมาะสมที่วันพุธอยู่ในวัยที่ต้องพัวพันกับเพื่อนฝูง คนรัก และรักสามเส้า และความรู้สึกภายนอกถือเป็นคนนอกแม้แต่ในสังคมของเด็กประหลาดด้วยกัน มันทำให้เราดูเหมือนเราโตขึ้นในวันพุธ วิตกกังวล ว้าวุ่นใจ และช่วยให้คุณผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี
ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งภายนอกตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวก็ไม่น่าเบื่อหรือเกินเลย เป็นปริศนาที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น รวมถึงการลอบสังหารเมื่อวันพุธจากบุคคลลึกลับ ความลึกลับของสมาคมลับโบราณที่แฝงตัวอยู่ในโรงเรียน สัตว์ร้ายในป่าที่เข่นฆ่าผู้คนและจุดไฟเผาความเกลียดชังดั้งเดิมระหว่างชาวเมืองธรรมดา (ที่ในเรื่องเรียกว่า Normies) และบุคคลภายนอกที่มีพลังพิเศษในโรงเรียน (ที่เรียกตัวเองว่า Outcast) กลายเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้วันพุธต้องสวมบทบาทเป็นซูเปอร์ฮีโร่และนักสืบโดยไม่รู้ตัว
ทั้งปัญหาพัฒนาการตัวละครเหมือนหนังรักวัยรุ่น และปัญหาพิพาทในสังคมที่ตึงเครียดผูกปริศนามากมาย ทำให้ซีรีส์มีความตื่นเต้น หลากรส และกลมกล่อมน่าติดตามเอาสุด ๆ ที่สำคัญมากคือบทสนทนาต่อปากต่อคำหรือเชือดเฉือนกันนั้นสนุกและบางประโยคก็ชวนสะอึกไปทีเดียวเมื่อมองกลับมายังปัญหาสังคมบ้านเรา ประกอบกับความยาว 8 ตอนของซีรีส์มันพอดีไม่มากไม่น้อยกับเนื้อหาด้วย เป็นซีรีส์ที่ดูรวดเดียวจบได้ไม่ติดอะไรเลย
นอกจากนี้การเลือกเวนส์เดย์มาเล่าเรื่องนำ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการต่อยอดความโด่งดังและสำเร็จของ คริสตินา ริชชี (Christina Ricci) ที่เคยรับบทดังกล่าวในหนังดัง ‘The Addams Family’ (1991) จนกลายเป็นแคแรกเตอร์ภาพจำของแฟรนไชส์ไปแล้ว ทำให้โจทย์สำคัญเลยคือแล้วใครจะมารับบทนี้ในปี 2022
ความรู้สึกหลังดูจบ
ข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะรู้สึกได้ หรืออย่างที่คุณคิด หลังจากเปลี่ยนผู้กำกับจากทิม เบอร์ตัน ซึ่งทำสี่ตอนแรกให้กับ Gandja Monteiro และ James Marshall ซีรีส์ก็มีพลังใหม่ ของที่เคยมีเสน่ห์ลดลง ซึ่งพูดยากเพราะเปลี่ยนผู้กำกับ เป็นเพราะเขาเคยชินกับโลกทัศน์แบบนี้จนไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเพราะเนื้อหาซีรีส์เปลี่ยนไปเล่าเหมือนหนังดังก็ไม่รู้
แต่ดูช่วงหลังต้องยอมรับว่าโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้อาจเลือกคนได้เหมาะสมกับงาน ทิม เบอร์ตัน เปิดโลกทัศน์สุดแฟนตาซีและมีเสน่ห์ ผู้กำกับหญิง มอนเตโร เติมรสชาติความสัมพันธ์สุดป่วนระหว่างเพื่อนหญิงและความรักวัยรุ่น จากนั้นมาร์แชลก็เพิ่มความก้าวร้าวเข้าไปในบทสรุป เป็นไปได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เวทมนตร์ของเบอร์ตันลดน้อยถอยลง